การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล
โดย ครูพยนต์
การทำผลงานทางวิชาการสิ่งที่ผู้เขียนเห็นว่ามีความสำคัญและละเลยไม่ได้คือการหาประสิทธิภาพของนวัตกรรมซึ่งได้นำเสนอไว้แล้ว
อีกขั้นตอนหนึ่งคือการหาคุณภาพหรือตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวมรวมข้อมูลก่อนนำไปใช้จริง
เนื่องจากมองว่า
เป้าหมายสุดท้ายของการทำผลงานทางวิชาการคือการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่เราต้องการ
หากว่า เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลไม่มีคุณภาพ
เราจะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่าผู้เรียนจะพัฒนาได้อย่างแท้จริง
ฉะนั้น จึงไม่ควรมองว่าขั้นตอนเหล่านี้ว่า "เป็นไร" หรือ "ไม่ทำก็ได้"
"อย่าไปทำเลย" หรือบางคนใช้คำพูดที่ไม่ค่อยน่าฟังเลยก็มี
ที่นำเสนอมิได้แปลว่าผู้เขียนมีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้แต่อย่างใด
แต่ถือเป็นบันทึกช่วยจำของผู้เขียนเองและอยากเผยแพร่ให้เพื่อนครูที่ชอบอ่านแบบบทสรุป
การหาคุณภาพของเครื่องมือ คุณภาพบางด้านเมื่อสร้างเครื่องมือเสร็จก็สามารถตรวจสอบได้ทันที (เช่น ด้านความเป็นปรนัย) บางด้านจะต้องนำเครื่องมือไปทดลองใช้หรือที่เรียกกันว่า Try out กับกลุ่มนักเรียนที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่างก่อน แล้วจึงนำผลมาวิเคราะห์หาค่าคุณภาพ เครื่องมือบางชนิดจำเป็นต้องตรวจสอบคุณภาพทุกด้าน แต่บางชนิดสามารถตรวจสอบเพียงบางด้าน ทั้งนี้ขึ้นกับลักษณะของชนิดเครื่องมือนั้น ๆ
คุณภาพของเครื่องมือที่จำเป็นต้องตรวจสอบ มี 5 ด้าน ได้แก่
1. ความเที่ยงตรง
(Validity)(หรือความตรง)
เป็นคุณสมบัติของเครื่องมือที่วัดในสิ่งที่ต้องการวัด
ความเที่ยงตรงแยกย่อยเป็น ความเที่ยงตรงตามเนื้อหา(วัดเนื้อหาสาระ
ได้ครบถ้วนตามหลักสูตรและจุดประสงค์) และ ความเที่ยงตรงตามโครงสร้าง
(วัดพฤติกรรมและสมรรถภาพด้านต่าง ๆ ได้ตรงตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดตามหลักทฤษฎี)
2. ความเชื่อมั่น (Reliability)(หรือความเที่ยง)เป็นคุณสมบัติของเครื่องมือที่แสดงให้เห็นว่าเครื่องมือนั้น ๆ ให้ผลการวัดที่สม่ำเสมอ คงที่ แน่นอน ไม่ว่าจะวัดกี่ครั้งก็ตาม
3. ความเป็นปรนัย (Objectivity)
เป็นคุณสมบัติของเครื่องมือที่มีลักษณะต่าง ๆ ดังนี้คือ
- คำถามมีความชัดเจน ชี้เฉพาะ
อ่านแล้วเข้าใจตรงกัน
- การตรวจให้คะแนนมีความแน่นอน
ตรงกันไม่ว่าใครจะตรวจก็ตาม
- แปลความได้ชัดเจนว่า
คะแนนที่ได้มีความสามารถอยู่ในระดับใด
4. ความยากง่าย (Difficulty เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ p) เป็นคุณสมบัติของข้อสอบที่บอกว่าข้อสอบนั้นมีคนทำถูกมากน้อยเพียงใด เครื่องมือที่ดีต้องมีความยากง่ายพอเหมาะ
5. อำนาจจำแนก (Discrimination เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ r) เป็นคุณสมบัติที่จำแนกกลุ่มเก่งกลุ่มอ่อนออกจากกัน หรือจำแนกความคิดเห็นที่ต่างกันออกเป็นสองกลุ่มได้
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลมีอยู่หลายชนิดในที่นี้ขอนำมาเจาะจงแบบที่เพื่อนครูเราใช้กันบ่อยได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์(ส่วนใหญ่เราจะนำมาใช้กันเป็นแบบทดสอบก่อนเรียน/หลังเรียน และแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า (แบบนี้เราจะใช้ตอนให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจ/ประเมินนวัตกรรม และ ใช้วัดเจตคติของนักเรียน) เพื่อให้ทราบว่าเครื่องมือทั้งสองชนิดนี้ต้องตรวจสอบคุณภาพด้วยวิธีการใด ส่วนวิธีการหานั้นหากจะหาด้วยการใช้สูตรก็สามารถทำได้ หรือให้สะดวก ก็สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งมีอยู่แพร่หลายในปัจจุบัน
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
หมายถึงแบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ความสามารถของบุคคลทางวิชาการ
ซึ่งเป็นผลจากการเรียนรู้ในเนื้อหาสาระและตามจุดประสงค์ของวิชาหรือเนื้อหานั้น ๆ
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
1. แบบทดสอบแบบอิงเกณฑ์
สร้างขึ้นตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม วัดตรงตามจุดประสงค์
มีคะแนนเกณฑ์ตัดสินว่าผู้สอบมีความรู้ตามเกณฑ์ที่กำหนดหรือไม่
2.
แบบทดสอบแบบอิงกลุ่ม สร้างขึ้นตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร
สามารถจำแนกผู้สอบตามความเก่ง/อ่อนได้
หลักการสร้างจะไม่นำมากล่าวในที่นี้ จะกล่าวถึงขั้นตอนการหาคุณภาพ กล่าวคือ หลังจากเขียนและตรวจทานข้อสอบแล้วจะนำไปให้ ผู้เชี่ยวชาญไม่ต่ำกว่า 3 คนพิจารณาความตรงเชิงเนื้อหา คือพิจารณาว่าข้อสอบแต่ละข้อตรงตามจุดประสงค์หรือไม่ อาจใช้วิธีการของ Rovinelli และ Hambleton หรือวิธีการหา IOC(Index of Item – Objective Congruence) ก็ได้ จากนั้นนำไปทดลองใช้กับกลุ่มทดลองก่อนแล้วนำมา
หาค่าความยากง่าย (p) และหาอำนาจจำแนก (r) ซึ่งอาจคำนวณด้วยการใช้สูตร หรือโปรแกรมสำเร็จรูปก็ได้
หาความเที่ยงตรง(หรือความตรง)
-
ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา
เรื่องนี้ถ้าหากว่าเราออกข้อสอบตามตารางวิเคราะห์เนื้อหาของเราก็ถือได้ว่ามีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาแล้ว
- ความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง
มีวิธีหาอยู่หลายวิธี ได้แก่
ใช้การพิจารณาค่าสัมประสิทธิ์ระหว่างคะแนนของแบบทดสอบนั้นกับแบบทดสอบมาตรฐานที่วัดในเรื่องเดียวกันซึ่งมีผู้จัดทำไว้แล้ว
อีกวิธีหนึ่งซึ่งสะดวกกว่า คือการให้ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ
พิจารณา(ในบางตำราเรียก วิธี
"Face validity")
หาความเชื่อมั่น(หรือความเที่ยง)
การหาความเชื่อมั่นมีหลายวิธีการ(ซึ่งล้วนแล้วต้องใช้สูตรในการคำนวณทั้งสิ้น)เช่น
การสอบซ้ำ การใช้แบบทดสอบคู่ขนาน การแบ่งครึ่งแบบทดสอบ(ข้อคู่ข้อคี่)
และวิธีการที่นิยมกันคือแบบของ Kuder-Richardson
นอกจากนี้ถ้าเป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ มีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงอีกคือ แบบทดสอบนั้นต้องมีความยุติธรรม เด็กแต่ละคนต้องไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกัน ใช้คำถามลึก วัดความสมรรถภาพทุกระดับ(รู้-จำ-เข้าใจ-นำไปใช้-วิเคราะห์-สังเคราะห์-ประเมินค่า) และคำถามยั่วยุ น่าสนใจ ท้าทายให้อยากตอบ
แบบสอบถาม
มาตราส่วนประมาณค่า
เครื่องมือชนิดนี้ไม่ต้องหาค่าความยากง่าย แต่ต้องหาค่าอำนาจจำแนกรายข้อ
ที่นิยมมีสองวิธี คือ หาโดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์อย่างง่าย และหาโดยใช้
t-test
ความเที่ยงตรง(หรือความตรง)
ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาใช้วิธีการให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาตัดสินเป็นรายข้อ
ส่วนความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างจะใช้วิธีการเดียวกับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่กล่าวไว้แล้ว
หาความเชื่อมั่น(หรือความเที่ยง) วิธีที่แพร่หลายคือวิธีของ
Cronbach(1970)
(เป็นวิธีการหาความเชื่อมั่นที่สามารถใช้กับเครื่องมือที่ไม่ได้ตรวจให้คะแนนเป็น 0
กับ 1) เรียกว่า"สัมประสิทธิ์แอลฟา" ( -
Coefficient)
รายละเอียดในการหาแต่ละด้านเพื่อนครูสามารถศึกษาได้จากหนังสือวิจัยทั่วไป เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นบางทีต้องอ่านมากกว่า 1 เล่ม ซึ่งหากว่าทำได้ตามนี้ ก็เชื่อได้ว่า เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลของเรามีความน่าเชื่อถือ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามผลงาน แล้วพบกันใหม่ครับ
เอกสารอ้างอิง
บุญชม ศรีสะอาด. การวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น, 2545.
พวงรัตน์ ทวีรัตน์. วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ : ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, 2540.