ศึกภายใน
 

           

            "สวัสดีนักเรียนทุกคน  ประชุมคราวนี้ครูมีเรื่องมาบอกหลายเรื่อง  โครงการอาหารกลางวันเป็นเรื่องแรก"
                        สิ้นเสียงครูเวรผู้ทำหน้าที่ประชุมประจำสัปดาห์ เด็กนักเรียนสามคนพี่น้องต่างหลบสายตาครูก้มลงพร้อมกัน
            "เงินสามพันบาทที่ทางราชการให้กับโครงการอาหารกลางวันอาจไม่พอ  โรงเรียนจึงขอให้นักเรียนเข้าร่วมโครงการสมทบเงินคนละ
            หนึ่งบาทต่อวันเปิดเรียน"

 

            เสียงจอแจดังขึ้นฟังไม่ได้ศัพท์ทั้งห้องประชุม แต่สำเนียงและสีหน้าของเด็กส่วนใหญ่ฉายแววยินดี

            "คุณครูคะ หนูขออนุญาตเข้าห้องน้ำค่ะ"
            เด็กหญิงมาลี  ออมทอง  พี่สาวคนโตในสามพี่น้องออมทอง  มาลีที่ครูสมชัยพูดถึงบ่อยครั้งเดินลับสายตาพ้นห้องประชุม ชั่วครู่
            เสียงขออนุญาตเข้าห้องน้ำของเด็กหญิงดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงแหลมเล็กของเด็กชายในประโยคเดียวกัน เด็กสองคนนี้คือ
            มาลาและมารุ่ง  ออมทอง น้องสาวคนกลาง และน้องชายคนเล็กของมาลี

                    ข้าพเจ้าซึ่งทำหน้าที่ครูเวรคอยดูแลเด็กด้านหลังห้องประชุมฉุกใจคิดว่า เด็กทั้งสามคนพี่น้องคงท้องเสียเพราะอาหารจากทางบ้าน 
            ด้วยความเป็นห่วงพาให้รีบเดินตามไปทันที

                    ที่ห้องน้ำรวมของนักเรียนไม่มีวี่แววเด็กทั้งสาม ข้าพเจ้ายืนอยู่กลางความว่างเปล่าอย่างสงสัย ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจว่าเย็นวันนี้
            จะตามไปที่บ้านของสามพี่น้องให้รู้แน่

            หลังจากที่ประชุมเสร็จสิ้นลงครูจำเริญ ประธานการประชุมเข้ามาชวนคุยด้วย
            "คุณสุจินต์คงสงสัยเหมือนผมนะว่ามาลีกับน้อง ๆ หายไปไหน
            "ค่ะ"
            ข้าพเจ้าตอบรับสั้น ๆ

            "ผมคิดว่าคุณลองไปดูที่บ้านเขาหน่อยก็ดี สังเกตดูเด็กสามคนนี้อ่อนเพลีย ซึมเศร้าพิกล ถ้ามีปัญหาจะได้แก้ไขทัน"

            "ค่ะ ที่จริงก็ตั้งใจไว้แล้ว เย็นนี้ไม่ได้กลับบ้านนอก คงจะไปได้"

            เย็นวันนั้นหลังโรงเรียนเลิก  ข้าพเจ้ามุ่งตรงไปที่บ้านของสามพี่น้องทันที  ห่างจากโรงเรียนเพียงเดินทอดน่องสิบนาที 
            บ้านเรือนไม้คล้ายกระต๊อบเก่าทรุดโทรมพ้นแมกไม้ให้เห็น

            "ครูมา ครูมา"

            เสียงตะโกนของเด็กชายมารุ่งดังขึ้นกลางความเงียบใต้ถุนต่ำเตี้ยค่อนข้างอับชื้น  เด็กทั้งสามนั่งอยู่ล้อมท่อนไม้  พื้นเกลื่อนไปด้วย
            เปลือกมะละกอสดยางขาวข้นผุดเปื้อน

            "คุณยายล่ะ มาลี"

            "ไม่อยู่ค่ะ"

            มาลีตอบคำถามพร้อมกับซ่อนมือสองข้างไว้ในชายเสื้อเก่ามอมแมม  มาลาก็เช่นเดียวกัน ส่วนมารุ่งถือชิ้นมะละกอด้วยท่าทีที่ไม่ประสา

            "ปอกมะละกอทำอะไรกันเหรอ"

            ข้าพเจ้าถามด้วยความอยากรู้  เด็กหญิงทั้งสองก้มหน้าเงียบ  เด็กชายผู้น้องชิงตอบทันที

            "พี่ลีปอกแบ่งให้ผมกับพี่ลาเยอะเลยครับ  พี่ลีเอาชิ้นเดียวเอง"

            คำตอบของเด็กชายมารุ่งเพียงสองประโยคอธิบายเหตุและผลได้ชัดเจนถึงเหตุการณ์ที่ห้องประชุมบ่ายวันนี้  ข้าพเจ้าจับแขนมาลี
            พามาที่ม้านั่งหน้าบ้าน ขณะมาลาและมารุ่งกัดชิ้นมะละกอดิบกินต่อไป

            "มาลี  เธอจะกินไปด้วยก็ได้นะ  ไม่ต้องอาย  นี่ได้เวลามื้อเย็น  คงหิวกันแล้ว"

            "อย่าว่าแต่มื้อเย็นเลยค่ะคุณครู  หนูกับน้องยังไม่ได้ทานข้าวเช้ากับมื้อกลางวันเลยค่ะ"

            ความรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรแข็ง ๆ  ติดอยู่ในลำคอเงียบไปครูใหญ่  มาลีถึงเล่าอีก

            "หนูตื่นแต่เช้าเข้าครัวจะนึ่งข้าว  ไม่มีข้าวในหม้อแช่ข้าว  คุณยายบอกว่าข้าวสารหมด  ไม่มีเงินซื้อค่ะ"

            ขณะที่ข้าพเจ้ายังนิ่งงันนั้น  ยายสาก้าวพาร่างผอมเกร็งเข้ามาในบริเวณบ้าน  มือกร้านดำวางถุงข้าวสารที่บันไดกะตามสายตาคงไม่เกิน
            สองลิตร  แล้วรับไหว้ข้าพเจ้า

            "พ่อมันไม่ส่งเงินมาร่วมครึ่งปีแล้วล่ะครู  ลำพังยายคนเดียวเก็บผักหญ้าขายก็ได้แค่นี้แหละ อดมื้อกินมื้อ"

            เห็นข้าพเจ้าเงียบยายสาพูดต่อ

            "เงินสามบาทที่จะเก็บเข้าโครงการ  ซื้อผักมาทำกินได้ตั้งวัน"

            "หนูไม่ได้มาเก็บเงินหรอกค่ะ  ตอนบ่ายหลานยายสามคนหนีประชุม  ทางโรงเรียนเป็นห่วงเลยให้หนูตามมาดูค่ะ"

            ข้าพเจ้านั่งคุยต่อด้วยความหดหู่ใจ อีกไม่นานก็ลากลับ  ก่อนจากมา  ข้าพเจ้าเอาแบ๊งค์ร้อยใส่มือยายสาไว้  หญิงชราจับมือข้าพเจ้า
            บีบกุมไว้ น้ำตาคลอเป็นประกาย

            หลายวันต่อมา  เด็กทั้งสามคนมาเรียนตามปกติ หลังจากจบการสอนวิชาการงานและพื้นฐานอาชีพ  ครูจำเริญกล่าวขึ้นขณะครู
            อีกหลายคนกำลังจะเข้าสอนในวิชาของตนเอง

            "มีเด็กชั้น ป.4 ฟ้องเด็กหญิงมาลากับผมว่า เด็กหญิงมาลาเก็บถั่วฝักยาวมากิน  ถั่วที่จะเก็บขายพร้อมกันเป็นรายได้วิชาเกษตร
            ของห้องเรียน"

            เว้นคำพูดด้วยเสียงถอนหายใจ

            "แกคงหิวมาก  หลายครั้งผมเห็นแกเอาเมล็ดหูกวางมาทุบกินเนื้อใน"

            "น่าสงสารนะ"

            ครูนภาเสริมขึ้นก่อนออกจากห้องพร้อมกับข้าพเจ้าเพราะรีบเข้าห้องสอน

            "นักเรียนตรง ทำความเคารพ"

            หลังจากนักเรียนชั้น ป.6 นั่งลงเรียบร้อย  ข้าพเจ้ามองไปที่มาลีเห็นนั่งเหม่อลอย  ในระหว่างเรียนความร่วมมือในการร่วมกิจกรรม
            เป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่น  จนเพื่อนร่วมกลุ่มมาฟ้อง  คงเป็นเพราะความหิวจนเลื่อนลอยทำให้ตามไม่ทันเพื่อน ๆ

            หลังระฆังบอกเวลาเลิกเรียนเป็นเวลาพักเที่ยง  ข้าพเจ้าง่วนอยู่กับกองสมุดของนักเรียนบนโต๊ะ  เมื่อเด็ก ๆ พากันเดินแถวไปโรงอาหาร
            ผ่านไปเกือบสิบนาที  ข้าพเจ้าได้ยินเสียงคลี่ถุงพลาสติก  จึงละสายตาจากกองสมุด ก็พบสายตาคู่หนึ่งมองมาอยู่ก่อนแล้ว  มาลีนั่นเอง
            โดดเดี่ยวที่โต๊ะเรียนกลางห้อง

            "คุณครูคะ  กินฝรั่งกับหนูมั๊ยคะ"

            ข้าพเจ้าเดินเข้าไปหาแทนคำตอบ  พร้อมกับลูบศีรษะอย่างที่คิดว่าเป็นการกระทำที่ดีที่สุดแล้ว

            "มาลี ...ไปโรงอาหารด้วยกันนะ"

            "หนูไม่มีข้าวห่อมา  เงินสมทบวันละบาทหนูก็ไม่มีให้ค่ะ"

            เสียงเครือแผ่วเบาด้วยน้ำตาคลอเป็นประกาย

            "ไม่เป็นไร  ครูจะแบ่งข้าวของครูและอาหารของโรงเรียนให้เธอ"

            "คุณครูพาน้องสองคนของหนูไปกินข้าวเถอะค่ะ  หนูทนได้"

            ประโยคนี้เองทำให้ข้าพเจ้ากลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ มันบอกทุกอย่างโดยไม่ต้องการคำอธิบาย
            การสนทนาต้องหยุดลงเมื่อครูจำเริญมายืนทักทายที่ประตูห้องเรียน

            "อ้ออยู่นี่เอง  มาไปโรงอาหารด้วยกัน  น้องเธอทั้งสองคนรออยู่ที่นั่น  ครูเตรียมข้าวไว้ให้แล้ว"

            มาลีผุดลุกขึ้นด้วยความดีใจ

            "คุณครูคะ  พ่อแม่ของหนูและน้องไม่เคยให้ความรักและความอบอุ่นเท่าที่ครูให้กับหนูเลยค่ะ"

            กว่าข้าพเจ้าจะหายจากอาการตื้นตันใจ  เด็ก ๆ หลายคนออกมาวิ่งเล่นกลางสนามหญ้าหลังอาหารมื้อกลางวันแล้ว

 


ที่มา : สุบินรัตน์  รัตนศิลา  วารสารวิชาการ ปีที่ 8  ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม 2548 (หน้า 73-75)