การสอนคอมพิวเตอร์ในสหรัฐ
|
จ
ะขอเล่าเรื่องระบบการศึกษาระดับปฐมและมัธยมของสหรัฐสักเล็กน้อยเพื่อให้บรรดาครูผู้สนใจเรื่องคอมได้เข้าใจว่าระบบ
การเรียน
การสอนทางคอมฯ เขาทำกันอย่างไร
ในที่นี้ จะเล่าถึง โรงเรียนของเอกชนเรื่อง การใช้คอมนั้น
ไม่ใช่จุดประสงค์ที่ โรงเรียน เขาสอนเลย อาจจะเป็นไปได้ว่า
ผู้ปกครองมีปัญญาซื้อเครื่องมาใช้
หรืออ่านภาษาอังกฤษออก แต่....โรงเรียน
จะเน้นเรื่องความรู้ basic วิทย์ คณิต สังคม ประวัติศาสตร์
ภาษาต่างประเทศและการสอนของเขาค่อนข้างจะได้ผล
ในแง่ว่า นักเรียน จะรู้ถึงรากฐานของวิชา เช่นสังคม เขารู้จักสิทธิของเขาในฐานะ
พลเมืองของประเทศรู้ถึงว่ารัฐธรรมนูญของประเทศ
มันมีอะไร เพราะมันมีความหมายต่อการเป็นประชากรว่า ไม่ละเมิดสิทธิ ในที่ทำงาน
ในที่สาธารณะ
เขาสอนให้รู้จักรักษาสิทธิของตนเองและอย่างที่เคยพูดเล่า เน้นเสมอ คือ
ให้มีการเขียน ออกความเห็นทำรายงานจากการ
ค้นคว้าจาก
หนังสือ เอกสาร internet ( ขอให้ไปอ่าน เรื่อง ที่ครูมนตรี ไปดูงานเรื่องการศึกษา
ที่ Australia แนวทาง การสอน ที่นั่น
เหมือนกับที่สหรัฐเลย)
มาถึงเรื่อง คอมฯ นักเรียน ใช้คอมฯ
เพื่อทำการบ้าน งานของโรงเรียน
ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในการค้นหา เพื่อเอามาเขียนประกอบรายงาน
แค่นั้นเอง
สำหรับในที่นี้หมายความว่า ใน โรงเรียน สอนจากชั้น 7 - 12(
ตรงกับบ้านเราคือ ม. ๑ - ๖) เขามีห้องคอม สองห้อง ห้องละ
ราว 30 เครื่อง
เป็น PC เสียห้องหนึ่ง อีกห้องเป็น Apple Macintosh เขามีใว้สำหรับให้นักเรียน
เข้าไปค้นคว้าเพื่อหาความรู้เขียนรายงาน
ส่วนการสอนคอมในหลักสูตรของ โรงเรียน ที่เกี่ยวกับ
programming เองนั้นเขาสอน แบบ ที่เรียกว่า AP
(Advanced
Placement) คือเลือกได้ และเป็นวิชาในระดับมัธยมปลายเท่านั้น
หากสอบได้คะแนนเข้าเกณฑ์แล้วสามารถเอาไปใช้
เป็นวิชาในมหาวิทยาลัยบางแห่งได้
เช่น วิชาวิทย์คอมเบื้องต้นซึ่งสอน พวก algorithm ทั้งหลาย
โรงเรียน ที่ว่านี้ สอน pascal
เป็นตัวช่วยในการศึกษา(ส่วนใหญ่เด็กที่เข้า
course นี้มักจะสนใจ technology มากๆ เช่น โรงเรียน สอน
pascalแต่เด็กบางคนอาจจะ
เขียน ภาษา C
เป็นไฟก็มี คือสอนก็สอนไป แต่ตนเองก็ใช้ C เพราะพวกนี้
คล่องมาก) คุยกับเด็กที่สนใจ technology จาก โรงเรียนนี้
บอกว่าไม่ค่อยได้อะไร
ส่วนใหญ่ศึกษากันเองเสียส่วนใหญ่ พวกนี้ ใช้ applicationต่างๆกันคล่องมาก
มักจะอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า Geeks
(ระดับนักเรียน) ก็ว่าได้
มีวิชาเลือกในโรงเรียน ที่มี คือ technology
(คงเหมือนกับ สาระ เทคโนโลยี และการบ้านการสวนบ้านเรากระมัง)
พวกนี้ก็จะเป็นพวก
ที่ชอบ
technology ก็มักจะเป็นพวกเดียวกับที่เล่นคอม
กลุ่มนี้ ก็จะมีการใช้คอมทำ graphic แบบพิศดารบ้าง ทำหุ่นยนต์บ้าง วิชาเลือกอื่น
เช่นใช้เครื่องมือกลง่ายๆ
ยกตัวอย่างกลึงไม้ หรือเลื่อยไฟฟ้าเป็นต้นเหล่านี้ เน้นความคิดสร้างสรรค์
ไม่ได้เน้นว่าให้ใช้เป็น ส่วนใหญ่
เด็กที่ทำพวกนี้
มักจะสนใจไปสอดหาความรู้เอาเองแล้วมาช่วยกันทำโครงการเป็นต้น
อีกวิชา ซึ่งมีให้เรียน ทั้งนักเรียนหญิง และชาย คือ home economics
(วิชาการบ้านการเรือน) คือการสอนให้ทำ การฝีมือบ้าง
อาหารบ้างเคยเจอลูกชายเพื่อนบางคน
ก็ทำปลอกหมอนกลับมาให้คุณแม่ที่บ้านบ้าง ลูกสาวผมทำเขียงมาให้ใช้ที่บ้าน เป็นต้น
หรือสอน
วิชาวาดรูป
และพวกรูปปั้น ทำถ้วยชามแถมมีการสอนให้ทำถ้วยจานแบบเคลือบด้วย
(ได้เครื่องถ้วยชามที่เข้าเตาเผามาใช้ที่บ้านบ้าง)
เนื่องจากผู้เขียน อยู่ในเมืองใหญ่ จึงไม่เห็นว่า ทางโรงเรียน
ที่ว่าสอนพวกวิชาที่บ้านเราสอนกันมากคือ การทำพวกพืชสวน หรือทำไร่
ในโรงเรียนซึ่งในบ้านเรา
น่าจะส่งเสริมเรื่องนี้มากๆ เพราะมันเข้ากับบ้านเราและก็ต้องถือว่า
เป็นความรู้ที่ดี และจำเป็น
ส่วน เรือง e-learning ทั้งหลาย ไม่มีครับ ขืนเอามาใช้ ผู้ปกครองเอาตาย
เพราะเขาเสียเงินค่าเล่าเรียนให้โรงเรียน(สำหรับ
โรงเรียนเอกชน) แล้ว ครูไม่สอน
ใช้คอมพิวเตอร์สอนแทน หรือหากเป็น โรงเรียน ของรัฐ
ผู้ปกครองก็คงไม่ชอบแน่ๆเพราะเขา
เสียภาษีให้ท้องถิ่นแล้ว(แบบ
โรงเรียนเทศบาลบ้านเราใช้เงินภาษีท้องถิ่นสนับสนุน) ไม่มีครูมาสอนให้ผู้ปกครองคงเล่นงานผู้ดูแล
เรื่องการศึกษาท้องถิ่น(
superintendent) ตายแน่ๆและที่บ้านเราก็เกิดขึ้นแล้ว คือ ครูเปิด
ให้เด็กดูการสอนทางไกลจากทีวีไม่ได้ดู
หรือสนเด็ก
ตอนนี้ ก็เดือดร้อน เพราะต้องสอบ NT และเด็กไม่รู้เรื่องเลย และจะมาเร่งสอน เด็ก
เรื่อง tense ก็ตายแค่นั้นเอง
แต่สื่อพวกเสริมการเรียนแบบ CD หรือ DVD นั้นมีเพียบเลย ดังนั้น พวกที่เราถกกัน
ในโฟรั่ม e-learning นั้น อย่างน้อยที่เห็น
ในวงการศึกษาเมืองนอกเขาไม่ใช้
ในห้องเรียน แต่จะเป็นรูปของการเสริม หรือ การติว เช่น การสอบ SATจะมี CD ขาย
เป็นต้น
อย่างที่ว่าเขาเน้น ความรู้ แบบพื้นฐาน คือ ให้อ่าน เขียน ได้ และที่แน่จริงๆก็คือเขาสนับสนุน
เรื่องความคิดอิสระ ความคิดใหม่
ทำใหม่
และที่น่าแปลกใจก็คือไม่ทราบเขา"สอน" หรือ "ยัดเยียด" ความคิดเช่นนี้ได้อย่างไรเพราะที่ผมสังเกตอีกอย่างในทัศนะคติแบบนี้
ที่มันสะท้อนผลของการสร้างทัศนะคติแบบนี้
ออกมาให้เห็นก็คือ เด็กพวกนี้มีความคิดใหม่ เช่น ทางดนตรี ปกติเด็กพวกนี้ก็จะเล่น
band
ของโรงเรียน
อยู่แล้วอย่างที่ โรงเรียน ในเมืองไทย ทำได้ผลดีมาก แต่.....พอถึงระดับมัธยมปลายแทนที่จะเล่นเพลง
หรือร้องเพลงที่มี
ในตลาด
เด็กพวกนี้(ไม่ใช่ทุกคน)พยายามแต่งเพลง เล่นเอง พยายามผลิตแผ่น
CD ออกมา อย่าง band ที่เห็น สี่ห้าคนจะมีในวง
สองสามคน
พยายามเขียน แต่ง เพลงออกมา จะมีคนเขียนเนื้อ คนสองคน แล้วช่วยกันแต่งทำนอง
จะแปลกใจว่า ในโรงเรียน
ที่มีชื่อเด่นในเรื่องวิชาการ (ในเมืองที่อยู่)หากจะยกตัวอย่างให้เห็นก็ราวระดับ
อัสสัมชัญ เซ็นคาเบรียล
หรือ มองฟอร์ตของบ้านเรา
โรงเรียนนี้ หินในด้านวิชาการขนาดมีฝรั่งหลายๆคนไม่อยากให้ลูกๆเข้าไปเรียน
เพราะคิดว่า เข้มวิชาการมากไป
เขาต้องการให้ลูกเขาเรียนสบายๆ
ไม่เครียดมากกว่า (อันนี้เป็นสิ่งที่เราแปลกใจในความคิดเขามาก ซึ่งอาจจะถูกก็ได้
คือ ไม่ได้เข้า
โรงเรียนชั้นหนึ่ง ก็ไม่เป็นไร
ก็ยังออกมาเป็นประชากรที่ดีที่สามารถออกมาทำมาหากินได้ )
เมื่อเร็วๆ นี้ คุยกับพวกเพื่อนๆลูกถึงเรื่องที่แต่ละปีที่เด็กจบมาจะมีคนไปเรียนทาง
technology หรือ ทาง engineering นั้น
เป็นจำนวนเท่าไรนับกันแล้วได้ราว
สิบถึงสิบห้าเปอร์เซนต์ เป็นอย่างมาก ซึ่งอันนี้กำลังเป็นปัญหามากเพราะ
สหรัฐเริ่มขาด คนที่จะ
ออกมาทำงานด้านนี้
ดังจะเห็นว่าต้องเอาคนจากอินเดียและจีน เข้าไปช่วยงานด้านนี้มากขึ้นและนับวันการเอาคนเข้าไปทำงาน
ก็นับแต่จะน้อยลง
เพราะ เขามาจ้างถึงถิ่น(อินเดียและจีน) เองเลย เพื่อลดค่าใช้จ่าย
ก็เป็นมุมมองและสภาพอีกแห่งหนึ่งของสังคมที่เรียกได้ว่า เป็นผู้นำทางเทคโนโลยีในศัตวรรตที่
20 เขากำลังมองระบบของ
จีนและอินเดียว่า
ผลจะออกมาอย่างไร อย่างไรก็ดี นักวิชาการ
ผู้รู้ของอเมริกาคิดว่าระบบของเขาเป็นระบบที่ส่งเสริมให้เกิด
ความคิดใหม่
นวัตกรรมใหม่ ความรู้ใหม่เขาส่งเสริมให้สร้างของใหม่
=========================================
ก็อยากจะเล่าให้ฟัง
nicola