มี
เพื่อนครูหลายคนสอบถามถึงขั้นตอน/วิธีการ
การสร้างและพัฒนาสื่อ/นวัตกรรม จึงอยากเล่าให้ฟัง ตั้งใจว่าจะให้เข้าใจง่ายที่สุด
แต่จะได้ขนาดไหนลองติดตามดูนะครับ
เนื่องจากสื่อฯ มีหลายรูปแบบ เรื่องแรกเลยคือประเภทของสื่อที่เราเลือก โดยหลักการแล้วจะต้องเลือกประเภทของสื่อให้เหมาะสมกับเด็ก เหมาะสมกับเนื้อหา/ธรรมชาติวิชาของกลุ่มสาระที่รับผิดชอบ(ในความเป็นจริงต้องเลือกที่เราถนัด/ทำได้ด้วย) ถ้าในสภาพปัจจุบันสื่อประเภท ICT จัดว่าเป็นสื่อที่ทันสมัยและยังอยู่ในช่วงที่เรียกว่า แปลกใหม่สำหรับนักเรียน(รวมถึงคนตรวจ) อย่างไรก็ตาม ก่อนจะไปถึงสื่อ ICT ตัวเนื้อหาก็ต้องมาจากเอกสารอยู่ดี ในที่นี้จึงขอแนะนำสื่อประเภทเอกสารประกอบการสอน(บางสำนักเรียกเอกสารประกอบการเรียน) ซึ่งสามารถพัฒนาไปสู่สื่อ ICT ได้
ขั้นตอนการสร้าง
ก่อนอื่นต้องศึกษารูปแบบ/องค์ประกอบของเอกสารประกอบการสอนก่อน
ซึ่งมีนักวิชาการหลายท่านเขียนไว้แล้ว แต่โดยรวมสื่อประเภทนี้ควรจะต้องมี
แบบทดสอบก่อนเรียน..เนื้อหา(เป็นเรื่องๆ)..แบบฝึก(แต่ละเรื่อง)..แบบทดสอบหลังเรียน
ส่วนที่นับว่าเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องได้มาตรฐานตามหลักวิชาคือ
แบบทดสอบมีคุณภาพ เนื้อหาถูกต้องตามหลักวิชา
สื่อฯผ่านการทดลองใช้เพื่อหาประสิทธิภาพ ซึ่งมีวิธีการพัฒนาดังนี้
ก่อนลงมือทำ
ขั้นแรก ต้องศึกษาหลักสูตร มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง หลักการ/จิตวิทยาการเรียนรู้
รวมถึงความแวดล้อมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แล้วรวบรวมเนื้อหาจากแหล่งข้อมูลต่าง
ๆ นำมาเรียบเรียงใหม่ให้สอดคล้องกับที่กล่าวมา จากนั้นจัดทำแบบฝึก(หรือจะใช้คำในชื่ออื่นเช่นแบบฝึกหัดก็ได้)
และแบบทดสอบ(เพื่อใช้สำหรับเป็นแบบทดสอบก่อนเรียน/หลังเรียน-โดยจัดทำจำนวนข้อสอบให้มีจำนวนมากกว่าจำนวนที่เราต้องการไว้ก่อน)
สุดท้ายของขั้นนี้คือเตรียมจัดลำดับรูปเล่มของเอกสารไว้(พร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไข)
นี่เป็นขั้นตอนเบื้องต้น ลำดับต่อไป เตรียมนำเครื่องมือไปหาคุณภาพ ในที่นี้
ได้เครื่องมือ 2 ประเภท คือ เครื่องมือที่ใช้ทดลอง(สื่อเอกสารประกอบการเรียน)
กับเครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูล(แบบทดสอบ)
หาคุณภาพของแบบทดสอบ
1) การหาค่าความตรง(Validity) ที่นิยมคือ
การหาความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3-5 คน
ด้วยวิธีคำนวณค่าดัชนีของความสอดคล้อง(IOC)
2) การหาค่าความยากง่าย(P)และค่าอำนาจจำแนก(r)
วิธีการคือนำแบบทดสอบที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของสื่อ
และมีจำนวนมากกว่าข้อสอบที่จะใช้ในสื่อ
นำไปทดสอบกับนักเรียนระดับเดียวกัน(ที่ไม่ใช่กลุ่มที่จะใช้สื่อ)
ตามหลักวิชาบอกว่าจำนวนนักเรียนที่นำข้อสอบไปทดสอบต้องมากกว่า 100 คน(บางตำรา บอก
30 คนก็ได้)
จากนั้นนำผลการสอบมาคำนวณหาค่า P,r
ถ้าทำเองไม่ได้ก็ต้องจ้างคนทำ(ทำเองก็ไม่ยากมีโปรแกรมฟรีของ อ.สาคร แสงผึ้ง
http://www.nitesonline.net/ ผู้เขียนทดลองแล้วไม่ยาก)
เมื่อได้ผลการคำนวณแล้วก็นำข้อสอบมาเลือกข้อที่ใช้ได้ (ค่า
P ระหว่าง .20-.80
ที่ดีที่สุดคือ .50 ,ค่า
r มีค่า .20 ขึ้นไป
ค่านี้ยิ่งมากยิ่งดี)
ตามจำนวนที่เราจะใช้ในสื่อของเรา แล้วเก็บข้อมูลเหล่านี้ไว้ใช้ในการเขียนรายงาน
3)
หาค่าความเที่ยง(Reliability) หรือความเชื่อมั่น
โดยนำแบบทดสอบที่ได้จากข้อ1-2 ไปทดสอบกับนักเรียนกลุ่มอื่นอีกครั้ง
จากนั้นก็นำมาหาค่าความเที่ยงโดยใช้สูตร KR-20 หรือ
KR-21 ของคูเดอร์ ริชาร์ดสัน(สำหรับแบบทดสอบที่ให้คะแนนเป็น
0 กับ 1)
(แบบทดสอบที่ได้นี้ใช้เป็นทั้งแบบทดสอบก่อนเรียน/หลังเรียน
แต่สลับข้อหรือสลับตัวเลือก หรือทั้งสองอย่าง)
ต่อไปจัดทำต้นฉบับ อันนี้ก็ต้องมีตามรูปแบบ ซึ่งควรได้แก่
ปกนอก...ปกใน...คำนำ...สารบัญ...คำชี้แจง...แบบทดสอบก่อนเรียน...เนื้อหา(ใบความรู้)...แบบฝึก...เนื้อหา(ใบความรู้)...แบบฝึก...
แบบทดสอบหลังเรียน
เอกสารอ้างอิง...ภาคผนวก(ถ้ามี..อาจเป็นเฉลย/คู่มือครู-ส่วนนี้จะตัดออกถ้าเป็นเอกสารสำหรับนักเรียน หรือจัดทำคู่มือครูแยกต่างหากก็ได้)
เมื่อได้ต้นฉบับแล้วเราต้องนำไป
หาประสิทธิภาพของสื่อ
วิธีการ
อย่างง่ายเลยคือนำสื่อ(เอกสารประกอบการสอน)พร้อมแบบตรวจหรือประเมินไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิ(คศ.3
หรือ ป.โท สาขาเรา..บางคน
เรียก ผู้เชี่ยวชาญ) 3 หรือ 5 คนดูความตรงเชิงเนื้อหา
(แบบตรวจหรือประเมินเท่าที่พบมี สองแบบ คือ
แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ กับ
ค่าดัชนีของความสอดคล้อง
IOC 3 ระดับ) ตรงนี้ก็เรียกได้ว่า
หาค่าความตรง(หรือความเที่ยงตรง)ของเครื่องมือ
ถ้าจะให้แน่นอนขึ้นอีกก็ต้องนำสื่อนี้ไปทดลองใช้จริงกับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มที่เราจะทดลอง อย่างน้อย 30 คน(ตามตำรา) แล้วนำผลมาหาค่า E1/E2 (หารายละเอียดจากหนังสือวิจัย) เมื่อได้ค่า E1/E2 มากกว่าที่เราตั้งไว้(ปกติตั้งกันที่ 80/80) ก็ถือว่า สื่อนี้ผ่านการหาประสิทธิภาพค่อนข้างสมบูรณ์ หรือยอมรับได้ จึงสามารถนำไปใช้ได้กับกลุ่มตัวอย่างจริง ๆ (จะว่าไป วิธีการนี้ บางคนไม่ยอมรับเพราะเชื่อได้ยากว่าทำตามหลักวิชาจริง แต่อย่างน้อยควรทดลองใช้ก่อนเพื่อหาข้อบกพร่อง)
ที่เล่ามาเป็นกระบวนการคร่าว ๆ (ซึ่งไม่ยาก
แต่ก็ไม่ง่าย)ในการจัดทำสื่อประเภทเอกสาร
ที่สามารถนำไปใช้จริงได้ที่อยู่ในรูปของสื่อ"เอกสารประกอบการสอน"
หากว่าเราต้องการนำไปพัฒนาเป็นสื่อ ICT
ก็ทำได้เลยเนื่องจากมีโครงสร้าง เนื้อหาครบถ้วนแล้ว(สื่อเว็บเพจที่ผู้เขียนนำเสนอก็ล้วนมาจากเอกสารทั้งสิ้น)
แต่...เมื่อเป็นสื่อ ICT แล้ว
ก็ต้องนำไปหาประสิทธิภาพของสื่อตามวิธีการข้างต้นใหม่(ให้ผู้ทรงคุณวุฒิดู..หา
E1/E2)
และถ้าคิดจะส่งเป็นผลงานทางวิชาการต้องเก็บข้อมูลทุกอย่างตั้งแต่เริ่มทำจนสิ้นสุดการใช้ไว้เพื่อเป็นข้อมูลในการเขียนรายงาน
จะเห็นว่าการหาคุณภาพของแบบทดสอบ, การหาประสิทธิภาพของสื่อ เป็นเรื่องสำคัญที่จะบ่งบอกว่าเมื่อนำสื่อนั้นไปใช้แล้วจะเกิดประสิทธิผลได้จริง ผู้สร้างจึงละทิ้งขั้นตอนนี้ไม่ได้หากจะส่งสื่อนั้นเป็นผลงานทางวิชาการ
ข้อที่ควรคำนึง
-การพิจารณาเลือกสื่อ/นวัตกรรมใด ๆ ต้องคำนึงถึงว่าสื่อหรือนวัตกรรมนั้น
มีหลักการ/ทฤษฎีรองรับ(ข้อนี้สำคัญ เพราะจะช่วยให้เขียนรายงานฯ ง่ายขึ้น)
-มาตรฐานคุณภาพของสื่อหนึ่ง ๆ นอกจากจะอยู่ที่ความถูกต้องตามหลักวิชาแล้ว
ความสวยงาม น่าสนใจ แปลกใหม่ ก็เป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ต้องพิจารณา