ระบบการหมุนเวียนเลือด
เมื่ออาหารถูกย่อยจนเล็กที่สุด
แพร่เข้าสู่ผนังลำไส้เล็กและแพร่ผ่านเข้าสู่เส้นเลือดแล้วจะเคลื่อนที่ไปสู่
ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายพร้อมกับเลือด
ระบบการหมุนเวียนเลือด
มีอวัยวะสำคัญที่เกี่ยวข้องได้แก่ หัวใจ เส้นเลือด และเลือด
เลือด(Blood)
ประกอบด้วย น้ำเลือด หรือพลาสมา(Plasma)
และเม็ดเลือดซึ่งประกอบด้วยเม็ดเลือดแดง
เม็ดเลือดขาว
และเซลล์เม็ดเลือดหรือเกล็ดเลือด(Platelet)
เม็ดเลือดแดงมีส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นโปรตีน
และเหล็กมีชื่อเรียกว่า เฮโมโกลบิน ก๊าซออกซิเจน
จะรวมตัวกับเฮโมโกลบินแล้วลำเลียงไปใช้ยังส่วนต่าง ๆ ของ
ร่างกาย เม็ดเลือดขาวซึ่งผลิตโดยม้าม*
จะทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรคที่จะเข้าสู่ร่างกาย
ส่วนเกล็ดเลือดจะเป็นตัวช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผล
น้ำเลือดประกอบด้วยน้ำประมาณร้อยละ 91 ที่เหลื่อเป็นสารอาหารต่าง ๆ
เช่นโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ เอนไซม์ และก๊าซ
เส้นเลือด(Blood Vessel)
คือท่อที่เป็นทางให้เลือดไหลเวียนในร่างกายซึ่งมี 3 ระบบ คือเส้นเลือดแดง
เส้นเลือดดำ และเส้นเลือดฝอย
หัวใจ(Heart)
ตั้งอยู่ในทรวงอกระหว่างปอดทั้งสองข้างเอียงไปทางซ้ายของแนวกลางตัว
ประกอบด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแรงภายในมี 4 ห้อง
-หัวในห้องบนซ้าย(Left
atrium) มีหน้าที่ รับเลือดที่ผ่านการฟอกที่ปอด
-หัวใจห้องบนขวา(Right
atrium) มีหน้าที่ รับเลือดที่ร่างกายใช้แล้ว
-หัวใจห้องล่างขวา(Right
ventricle) มีหน้าที่ สูบฉีดเลือดไปฟอกที่ปอด
-หัวใจห้องล่างซ้าย(Left
ventricle) มีหน้าที่ สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ระหว่างหัวใจซีกซ้ายและซีกขวามีผนังที่เหนียว หนา
และแข็งแรงกั้นไว้ และระหว่างห้องหัวใจด้านบนและ
ด้านล่างของแต่ละซีก มีลิ้นของหัวใจคอยปิดกั้นมิให้เลือดไหลย้อนกลับ ดังนั้น
การไหลเวียนของเลือดจึงเป็นการไหลไปในทางเดียวกันตลอด ซึ่ง วิลเลียม ฮาร์วีย์
นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ เป็นคนแรกที่ค้นพบการหมุนเวียน
ของเลือด
และชี้ให้เห็นว่า เลือดมีการไหลเวียนไปทางเดียวกัน
ภาพจากhttp://www.heartandcoeur.com/celebrity/page_harvey.php
การไหลเวียนของเลือดเริ่มโดยห้องบนขวารับเลือดดำที่ร่างกายใช้แล้ว
ส่งไปยังห้องล่างขวา ห้องล่างขวาจะฉีดเลือดดำไปฟอกที่ปอด ในขณะเดียวกัน
เลือดแดงที่ผ่านการฟอกจากปอดจะเข้าสู่หัวใจทางห้องบนซ้ายแล้วส่งต่อมายังห้องล่างซ้าย
หัวใจก็จะฉีดเลือดแดงออกจากห้องล้างซ้ายเข้าสู่เส้นเลือดใหญ่
ซึ่งต่อมาก็แยกออกเป็นเส้นเลือดเล็ก และเส้นเลือดฝอย
เพื่อนำเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
เลือดที่ใช้แล้วก็จะไหลกลับมาที่หัวใจทางห้องบนขวาอีก
จะหมุนเวียนเช่นนี้ไปตลอดชีวิต เพื่อให้เห็นชัดเจนขอให้ดูแผนภาพต่อไปนี้
ซึ่งเราสามารถสรุปเป็นหน้าที่ของระบบหมุนเวียนโลหิตได้ดังนี้
1. นำอาหารและสารอื่น ๆ
รวมทั้งออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ของร่างกาย
2.
นำคาร์บอนไดออกไซด์ไปขับออกทางปอดเพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนกลับมาใช้
3.
ขับถ่ายน้ำของเสียซึ่งเกิดจากเมตาโบลิซึมเพื่อขับออกภายนอกร่างกาย
4. ช่วยควบคุมและรักษาดุลของสารน้ำภายในร่างกาย
5. ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้เป็นปกติ
ขณะหัวใจบีบตัวเลือดจะถูกดันออกไปตามหลอดเลือดจากหัวใจด้วยความดันสูงทำให้เลือดไปเลี้ยง
ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้
ขณะที่หัวใจรับเลือดเข้าไปนั้นก็จะมีความดันน้อยที่สุด
ความดันเลือดที่แพทย์วัดออกมาได้ซึ่งมีหน่วยเป็นมิลลิเมตรของปรอทจึงมีสองค่า
เช่น 110/70 มิลลิเมตรของปรอท
ตัวเลข 110
แสดงค่าของความดันเลือดขณะหัวใจบีบตัวเพื่อดันเลือดออกจากหัวใจ
ตัวเลข 70 แสดงค่าความดันเลือดขณะหัวใจคลายตัวรับเลือดเข้าสู่หัวใจ
ถ้าเราเอานิ้วมือจับที่ข้อมือด้านซ้าย จะพบว่ามีบางสิ่งบางอย่างเต้นตุ๊บ ๆ
อยู่ภายใน สิ่งนั้นเรียกว่า ชีพจร
ชีพจรเป็นการหดตัวและขยายตัวของหลอดเลือดตามจังหวะการเต้นของหัวใจ
โดยคนหนุ่มสาวปกติชีพจรจะเต้นประมาณ 70
80
ครั้ง /นาที ในวัยเด็กที่มีสภาพร่างการปกติชีพจรจะเต้นเร็วกว่าผู้ใหญ่
การออกกำลังกายก็มีผลต่ออัตราการเต้นของชีพจร
การออกกำลังกายทำให้ร่างกายต้องการพลังงานสูงขึ้นกว่าปกติ
จึงต้องมีการแลกเปลี่ยนแก๊สที่ปอดมากขึ้น การสูบฉีดเลือดจึงต้องสูงขึ้น
จะพบว่าชีพจรก็จะเต้นเร็วขึ้น หัวใจสูบฉีดเลือดเร็วขึ้น
จึงกล่าวได้ว่าการเต้นของชีพจรสัมพันธ์กับระบบหายใจและระบบหมุนเวียนเลือดในร่างกาย
เครื่องมือที่ใช้ในการฟังการเต้นของชีพจรคือ สเตโทสโคป (stethoscope)
การปฏิบัติตนเพื่อดูแลรักษาอวัยวะภายในระบบ
1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
2. อยู่ในที่อากาศบริสุทธิ์
3. พักผ่อนให้มาก เพราะการพักผ่อนนอนหลับจะทำให้หัวใจเต้นช้าลง
4. ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับเพศและวัย
5. ทำจิตใจให้แจ่มใสร่าเริง ไม่เครียด
6. งดเว้นจากสิ่งเสพติดทุกชนิด
*ม้าม(Spleen)
มีหน้าที่ผลิตเม็ดเลือดขาว
และทำลายเม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือดที่หมดอายุ
ระบบหายใจ |